การปลูกหน่อไม้ฝรั่ง ในแบบเกษตรอินทรีย์

พันธุ์หน่อไม้ฝรั่งที่เกษตรกรใช้ในการปลูกมีหลายสารพันธุ์เช่น แม่รี่วอชิงตัน (Marywashington) , แคลิฟอร์เนีย 500 (Califormia 500) , แคลิฟอร์เนีย 309 (California 309) , ไฮบริดอิมพีเรียล (Hybrid Imperial) และ บร็อคอิมพรู๊ฟ (Brock’s improved)

โดยเฉพาะในจังหวัดนครปฐม ทั้งนี้เพราะทำให้ได้หน่อไม้ฝรั่งที่มีรูปร่างและขนาดใหญ่ได้คุณภาพตามมาตรฐานและให้ผลผลิตสูง เกษตรกรสามารถขายได้ทุนคืนในปีแรกและให้ผลกำไรที่ดีในปีต่อ ๆ มา พันธุ์นี้ปลูกได้ทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียวเช่นกัน ในปัจจุบันได้มีการนำหน่อไม้ฝรั่งเข้ามาทดลองปลูกอีกหลายพันธุ์ ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ที่ใช้ปลูกทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียว เช่น เจนลิม, แฟรงค์ลิม, ยูซี 157, บูนลิม, แบคลิม และพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งยังอยู่ในช่วงของการทดสอบผลผลิตอยู่

หน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์ เป็นพืชผักที่มีบทบาทสำคัญของประเทศตลาดต่างประเทศมีความต้องการสูงนื่องจาก ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความต้องการเป็นอย่างสูง เป็นพืชผักที่มีบทบาทสำคัญของประเทศตลาดต่างประเทศมีความต้องการสูงนื่องจาก ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความมั่นใจในระบบการผลิตเกษตรอินทรีย์ที่มีความปลอดภัยสูง หน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์ประกอบด้วย วิตามินเอ ซี บี บีคอมเพล็ก ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็กสูง ปลูกมากที่จังหวัด สระแก้วและกาญจนบุรี การปลูกหน่อไม้ฝรั่ง แบบเกษตรอินทรีย์จะต้องพิจารณาความอุดม สมบูรณ์ของดิน มีการปรับปรุงบำรุงดินโดยการใช้สารอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทุกชนิดที่ก่อให้เกิดมลพิษทั้งคน สัตว์สิ่งแวดล้อม รักษาความสมดุลของธรรมชาติ

การพรวนดินจะทำให้บริเวณหน้าดินไม่แน่น หน่ออ่อนจะโผล่พ้นดินได้สะดวกไม่โค้งหรือคดงอ แต่การพรวนดินต้องทำอย่างระมัดระวังอย่าให้กระทบกระเทือนถึงระบบราก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต เพราะจะทำให้หน่อไม้ฝรั่งชะงักการออกหน่อได้ ต้นหน่อไม้ฝรั่งในช่วงอายุ 3-4 เดือนแรกหลังจากการย้ายปลูก ควรทำการพรวนดินและพูนโคน พร้อมทั้งเติมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เพื่อช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีและร่วน ขึ้น การพรวนดินและการเติมปุ๋ยคอกนี้จะกระ ทำทุก ๆ 3-4 เดือนต่อครั้ง ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และสภาพความอุดมสมบูรณ์ของหน่อไม้ฝรั่งด้วย

หน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์ เจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิระหว่าง 27 -30 องศาเซลเซียส มีแสงแดดจัดไม่มีร่มเงา ดินมีความเป็นกรดด่างที่ 6.0 – 7.5 มีการระบายน้ำดี ถ่ายเทอากาศดี หน้าดินลึก ไม่น้อยกว่า 50 – 70 เซนติเมตรมีแหล่งน้ำที่สะอาดปราศจากสารพิษปนเปื้อนตลอดฤดูปลูก ต้องส่งตัวอย่างดินและน้ำตรวจสารพิษปนเปื้อนก่อนปลูก

การเตรียมดินปลูก ใช้รถแทรกเตอร์ผ่าน 3 ไถดะลึกประมาณ 30 – 40 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 15 – 30 วัน เพื่อกำจัดวัชพืชและโรคแมลงในดิน ใส่วัตถุปรับโครงสร้างดิน เช่น เปลือกถั่วต่าง ๆ ซังข้าวโพด แกลบ อัตรา 3 – 4 ตัน/ไร่ หรือใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ในดินร่วนและดินทราย อัตรา 3 ตัน/ไร่ ไถพรวนหว่านพืชตระกูลถั่ว กรณีใช้แกลบดิน ควรหมักในดินไม่ต่ำกว่า 4 เดือน เพื่อช่วยให้ดินโปร่งร่วนซุยอุ้มน้ำได้ดี ระบายน้ำดีแล้วจึงไถยกร่องแปลงปลูกขนาดกว้าง 2 เมตร ตามแนวพื้นที่แต่ไม่ควรเกิน 50 เมตร

การปลูกหน่อไม้ฝรั่ง แบบ เกษตรอินทรีย์ ไร้สารพิษ

พันธุ์หน่อไม้ฝรั่งที่ใช้ปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ ที่นิยมใช้คือ

  • พันธ์ ยูซี 157 เป็นพันธุ์ลูกผสมให้ผลผลิตดี หน่อใหญ่ ปลายหน่อและโคนยาวเรียวเสมอกัน นำเข้าจากไต้หวัน
  • พันธุ์ แอทลาส เป็นพันธุ์ลูกผสมให้ผลผลิตดี หน่อยาวเรียวเสมอกัน นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา การเพาะกล้า

ก่อนปลูกต้องเพาะกล้าโดยเตรียมเมล็ดพันธุ์หน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์และถุง พลาสติกสีดำขนาด 4×6 นิ้ว นำเมล็ดพันธุ์ที่จะเพาะแช่น้ำหมักชีวภาพอัตรา 10 ซีซี/น้ำ 20 ลิตรทิ้งไว้ 2 ชั่วโมงแล้วนำเมล็ดพันธุ์มาห่อผ้าที่ชื้นทิ้งไว้ในที่ร่ม 1 – 2 วัน ให้เมล็ดขาวงอกปริ่มเล็กน้อยรดน้ำในถุงพลาสติกให้ชื้นแล้วจึงนำเมล็ดหยอดลง ในถุงเพาะกล้าที่เตรียมไว้ แปลงต้นกล้าควรรดน้ำและให้ปุ๋ยชีวภาพฉีดพ่นอัตรา 20 ซีซี/น้ำ 20 ลิตรทุก 7 – 10 วัน เพื่อเร่งการเจริญเติบโตและใส่ปุ๋ยหมักอัตรา 1 – 2 ช้อนโต๊ะ/ต้นทุก 30 วัน ถ้ามีโรคแมลงระบดาป้องกันด้วยน้ำหมักสมุนไพร

วิธีการปลูกหน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์

นำต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์ที่มีอายุ 3 – 4 เดือน โดยคัดต้นกล้าที่แข็งแรงสมบูรณ์ที่ขนาดใกล้เคียงกันปลูกในแปลงที่เตรียมไว้ แปลงยร่องขนาดกว้าง 2 เมตร ยาวตามพื้นที่ไม่เกิน 50 เมตร ติดตั้งระบบน้ำให้เรียบร้อย ขุดหลุมลึก 15 – 20 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถว 1.50 เมตร ระหว่างต้น 40 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยหมักรองก้นหลุม ๆ ละ 1 – 2 กำมือ รดน้ำให้ชื้นก่อนนำต้นกล้าลงปลูก การย้ายต้นกล้าลงปลูกควรเป็นช่วงที่มีแสงแดดอ่อนๆ เวลาบ่ายใกล้เย็น

ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่งแบบทั่วไป ได้แก่ ดินที่มีเนื้อดินร่วนจนถึงดินเหนียวร่วน หน้าดินลึกและมีการระบายน้ำดี มีความอุดมสมบูรณ์ระดับปานกลางขึ้นไป ส่วนดินที่มีการระบายน้ำและอากาศไม่ดี มีน้ำขัง มีชั้นดินดานข้างใต้ เป็นกรดและด่างจัด นับว่าเป็นดินที่ไม่เหมาะแก่การปลูกพืช ทั้งนี้เพราะดินดังกล่าวเป็นอุปสรรคที่สำคัญซึ่งขัดขวางการเจริญเติบโตของรากพืช เป็นสาเหตุให้พืชเจริญเติบโตช้าและให้ผลผลิตต่ำ ดังนั้นในการเลือกพื้นที่ปลูกหน่อไม้ฝรั่งจึงมีข้อควรพิจารณา

  • ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่งควรเป็นดินที่ไม่เป็นกรดจัดคือ มีพีเอช (pH) 6.0-6.8 ถ้าดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาวหรือปูนเปลือกหอยเพื่อปรับปรุงดิน ในภาคกลางต้องใส่ปูนขาวประมาณ 150-200 กิโลกรัมต่อไร่
  • ความลึกของชั้นหน้าดิน ในการปลูกพืชล้มลุกนั้น ชั้นดินบนที่มีความลึกไม่เกิน 50 เซนติเมตร จะมีความสำคัญที่สุด แต่สำหรับหน่อไม้ฝรั่งควรมีชั้นของดินบนและดินล่างลึกตั้งแต่ 50 เซนติเมตร – 1 เมตร เนื่องจากรากสามารถเจริญเติบโตแผ่ขยายไปดูดน้ำและธาตุอาหารจากดินล่างได้ด้วย ดังนั้นการเลือกพื้นที่สำหรับปลูกหน่อไม้ฝรั่งจึงควรเลือกที่ที่มีชั้นหน้าดินลึก มีการระบายน้ำและมีความอุดมสมบูรณ์ในระดับปานกลางเป็นอย่างน้อย
  • ระดับน้ำใต้ดิน ระดับน้ำใต้ดินเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาเช่นกัน พื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกพืชชนิดนี้ ไม่ควรมีระดับน้ำใต้ดินสูงมากกว่า 1 เมตร แม้ในฤดูฝน เพราะจะทำให้การเจริญเติบโตของรากไม่ดี โดยเฉพาะเมื่อมีอายุย่างเข้าปีที่สอง พื้นที่ใดมีระดับน้ำใต้ดินสูง ส่วนของดินที่รากจะแผ่ขยายไปหาอาหารก็จะลดน้อยลงไป และหากเป็นพื้นที่ที่น้ำท่วมขังระบบรากได้ง่ายด้วยแล้ว อาจทำให้ต้นหน่อไม้ฝรั่งตายได้การปลูกหน่อไม้ฝรั่งระบบร่องจีน ในฤดูฝนต้องสูบน้ำออกจากแปลงเพื่อปรับระดับน้ำใต้ดินให้พอเหมาะ หน่อไม้ฝรั่งจึงจะเจริญได้ดี

การดูแลรักษาหน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์

หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชชอบน้ำ ต้องปลูกในที่มีน้ำชลประทานตลอดปี มีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้แห้งหรือแฉะเกินไป การให้น้ำต้องคำนึงถึงลักษณะของดินและสภาพพื้นที่เป็นสำคัญ อย่างน้อยควรให้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง (ให้น้ำระบบร่อง) ถ้าหน่อไม้ฝรั่งขาดน้ำจะทำให้ต้นมีเส้นใยมาก เหนียว หน่อกระด้าง และมีคุณภาพต่ำ การให้น้ำไม่สม่ำเสมอ คือแห้งหรือแฉะเกินไป อาจทำให้ลำต้นแตกเป็นแผลและอาจจะทำให้โรคเข้าทำลายได้ (วิธีการให้น้ำหน่อไม้ฝรั่ง มีหลายวิธีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่เป็นสำคัญ เช่น การให้น้ำแบบเรือฉีดพ่น การให้น้ำแบบร่อง การให้น้ำแบบสปริงเกอร์ ทั้งนี้เกษตรกรจะต้องคำนึงถึงข้อดีและข้อเสียด้วยว่าจะเลือกให้น้ำวิธีใดจึงจะเหมาะสม)

การให้น้ำควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ผลผลิตจะมีคุณภาพดี ช่วงย้ายต้นกล้าลงแปลงปลูก ควรให้น้ำวันละ 1 ครั้งทุกวันหรือวันเว้นวัน ขึ้นอยู่กับสภาพดิน อุณหภูมิฝน แปลงที่มีความชื้นสูงไม่จำเป็นต้องให้น้ำ การให้น้ำในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตต้องให้ทุกวันและไม่ควรให้ตอนเย็นจะทำให้ เกิดโรคระบาดได้ การให้น้ำในพื้นที่ดอน ระบบสปริงเกอร์จะช่วยชะล้างโรคและแมลงบางชนิดได้ เช่น เพลี้ยไฟ

การให้ปุ๋ย ปุ๋ยหมักชีวภาพ ปุ๋ยมูลสัตว์ต่าง ๆ ต้องผ่านขบวนการหมักทุกครั้งก่อนนำไปใช้ โดย

  • ปุ๋ยหมักชีวภาพ ช่วงต้นกล้าอายุ 0 – 4 เดือน ใช้อัตรา 500 – 700 กิโลกรัม/ไร่ทุก 30 วัน ช่วงพักต้น ใช้อัตรา 500 – 700 กิโลกรัม/ไร่ ช่วงเก็บเกี่ยวใช้อัตรา 250 – 300 กิโลกรัม/ไร่ทุก 15 วัน
  • ปุ๋ยน้ำชีวภาพ เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ฉีดพ่นทางใบอัตรา 20 – 30 ซีซี/น้ำ 20 ลิตรทุก 7 – 10 วัน

การป้องกันกำจัดวัชพืช ของ หน่อไม้ฝรั่งแบบเกษตรอินทรีย์ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทุกชนิด ควบคุมกำจัดวัชพืชใช้วิธีกล เช่นการเตรียมดินที่ดี การถอนด้วยมือและวิธีเขตกรรมอื่น ๆ ห้ามใช้สารเคมีทุกชนิด ใช้พันธุ์ต้นทานตรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ หากพบต้นที่เป็นโรคให้เก็บทิ้งเผาทำลายใช้สารสกัดสมุนไพร เช่น ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด สะเดา หญ้าใต้ใบ เปลือกแค เปลือกมังคุด ขมิ้น ตะไคร้ กระชาย ก้ามปู และสมอดุ้ง

การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช ของ หน่อไม้ฝรั่งแบบเกษตรอินทรีย์ แมลงศัตรูที่สำคัญได้แก่ เพลี้ยไฟ หนอนกระทู้ กัดต้น หนอนกระทู้ผัก หนอนกระทู้หอม

  • ใช้สมุนไพรประเภทฆ่าเพลี้ยและแมลง เช่น หางไหล ขอบชะนาง แดงขาว หนอนตายหยาก ใบน้อยหน่า พญาไร้ใบ แสยก เมล็ดมะกล่ำ
  • ใช้สมุนไพรรสขมไล่แมลง เช่น ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด สะเดา พญาไร้ใบ
  • ใช้สมุนไพรเปรี้ยวไล่แมลง เช่น เปลือกส้ม มะกรูด มะนาว มะขาม
  • ใช้สมุนไพรหอมระเหยไล่แมลง เช่น ตะไคร้หอม โหระพา กระเพา ผักชี สาบเสือ พริกไทยขิง ข่า กระทกรก
  • ใช้จุลินทรีย์ควบคุม เช่น การใช้แบคทีเรีย ไส้เดือนฝอย ใช้เชื้อราไตรโคเดอรม่า
  • รักษาความสมดุลทางธรรมชาติ ศัตรูธรรมชาติ ตัวห้ำ ตัวเบียน
  • จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ทำลายวัชพืชที่เป็นแหล่งวางไข่แมลงผีเสื้อ

การเก็บเกี่ยวผลผลิตหน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์ หลังจากปลูกหน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์ได้ 3 – 4 เดือน หน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์จะเจริญเติบโตเร็วมาก จะโผล่พ้นดินไม่เกิน 3 วัน ต้องเก็บหน่อมาจำหน่ายทันที ถ้าปล่อยไว้ส่วนของปลายหน่อจะบาน กลายเป็นหน่อตกเกรด

ข้อควรปฏิบัติในการเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่ง

  • ภายหลังการเก็บเกี่ยว ต้องนำหน่อไม้ฝรั่งเข้าร่มทันที และการดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ ควรจะกระทำในที่ร่มทั้งหมด เช่น การนำไปล้างน้ำสะอาด เพื่อชำระเอาดินและสิ่งสกปรกออก หรือตัดให้ได้ความยาวตามมาตรฐานการรับซื้อ
  • นำหน่อไม้ฝรั่งไปตัดแต่งโคน ให้ได้ความยาวตามที่พ่อค้ารับซื้อต้องการ ปกติจะตัดให้มีความยาว 25 เซนติเมตร คัดเกรดหน่อไม้ฝรั่งออกตามลักษณะที่ต้องการ เช่นเกรดเอตูม เกรดเอบาน เกรดบีตูม เกรดบีบาน เกรดซี และตกเกรด ส่วนขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางที่โคนหน่อนั้น ผู้รับซื้อแต่ละแหล่งจะกำหนดไว้ไม่เท่ากัน ดังนั้น ถ้าเกษตรกรจะปลูกก็ควรทำความตกลงเรื่องเกรดกับผู้ซื้อให้เรียบร้อยก่อน
  • นำหน่อไม้ฝรั่งที่คัดเกรดเรียบร้อยแล้วมา มัดรวมกันเป็นมัด ๆ หนักมัดละประมาณ 1-5 กิโลกรัม เพื่อสะดวกในการบรรจุและถ่ายออกจากภาชนะบรรจุ
  • ต้องทำการขนส่งออกสู่ตลาดหรือผู้รับซื้อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในการขนส่ง ถ้าเป็นระยะทางำกล ควรมีการลดความร้อนให้หน่อไม้ฝรั่งโดยการใช้น้ำแข็งป่นโรยสลับกับหน่อไม้ฝรั่งเป็นชั้น ๆ ในภาชนะบรรจุ

การพักต้นเพื่อเก็บเกี่ยวต่อไป

โดยปกติหน่อไม้ฝรั่งจะมีระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวประมาณ 2.5-3 เดือน แต่อาจจะทำการพักต้นก่อนที่จะครบช่วงของการเก็บเกี่ยวก็ได้ หากพบว่าสภาพต้นหน่อไม้ฝรั่งทรุดโทรม โดยสังเกตได้จากปริมาณการให้ผลผลิต (ให้เกรดเอเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตทั้งหมด) ในช่วงของการพักต้นนี้ ควรทำการตัดแต่งลำต้นแม่เดิมทิ้ง ปล่อยให้หน่อใหม่เจริญขึ้นมาแทนที่ ในขณะเดียวกันก็ควรที่จะทำการพรวนดินใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอก พร้อมทั้งให้น้ำและฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างสม่ำเสมอ เมื่อหน่อที่แตกขึ้นมาใหม่มีความสมบูรณ์และพร้อมที่จะให้หน่อชุดใหม่ได้ ควรตัดแต่งให้เหลือต้นแม่เหนือดินที่สมบูรณ์ประมาณ 4-6 ต้นต่อกอ แล้วจึงทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไป

ที่มา web.ku.ac.th / pirun.ku.ac.th