กระทรวงสาธารณสุขยกระดับมาตรการอะไรแล้วบ้าง หลังไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนแล้วกว่า 60 ราย แล้วก็ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนรายแรกในประเทศแล้ว
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564 กรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี แล้วก็รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ผ่าน รายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ถึงแนวทางการรับมือโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน เนื่องจากสถานการณ์โอไมครอนรุนแรงมากขึ้น
ซึ่งก็กล่าวได้ว่าขณะนี้ ไทยพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนแล้ว 63 ราย กำลังยืนยันผลอีก 20 ราย แล้วก็ล่าสุด พบผู้ติดเชื้อโอไมครอนในประเทศแล้ว 1 ราย
โอไมครอนในไทย ติดแล้ว 60 กว่าราย กับระดับมาตรการของรัฐ
จากรายงานข่าวของสำนักข่าว ได้รวบรวมประวัติการยกระดับมาตรการสกัดโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนที่ทางการไทยประกาศออกมาตั้งแต่องค์การอนามัยโลกประกาศพบไวรัสสายพันธุ์นี้จนถึงปัจจุบัน (20 ธ.ค.) มีดังต่อไปนี้
ห้ามนักท่องเที่ยว 8 ประเทศเสี่ยงจากแอฟริกาเข้าไทย
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2564 กระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้ติดตามการแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดแล้วก็ได้วางมาตรการเรื่องผู้เดินทางมาจากทวีปแอฟริกา เท่ากับ ไม่อนุญาตให้ผู้เดินทางจากประเทศเสี่ยง 8 ประเทศในทวีปแอฟริกา เข้าประเทศไทยเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. เป็นต้นไป โดยรายชื่อประเทศมีดังนี้
- สาธารณรัฐบอตสวานา
- ราชอาณาจักรเอสวาตินี
- ราชอาณาจักรเลโซโท
- สาธารณรัฐมาลาวี
- สาธารณรัฐโมซัมบิก
- สาธารณรัฐนามิเบีย
- สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
- สาธารณรัฐซิมบับเว
ส่วนผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางก่อนหน้านี้ จะให้กักตัว 14 วันทุกราย ไม่อนุญาตให้ทำกิจกรรมนอกห้องพัก แล้วก็ตรวจห้องปฏิบัติการ 3 ครั้ง เท่ากับ วันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค. , 5-6 ธ.ค. แล้วก็ 12-13 ธ.ค. หากไม่พบเชื้อจึงอนุญาตให้ออกมาได้
ศบค.ปรับมาตรการรับนักท่องเที่ยว
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีมาตรการป้องกันควบคุมโรคสำหรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร จากทวีปแอฟริกาโดยมีผลตั้งแต่ 28 พฤศจิกายน 2564 ดังนี้
1.ผู้เดินทางที่มีประวัติพำนักหรือเดินทางไปยังประเทศในแอฟริกา 8 ประเทศ ในช่วง 21 วันก่อนเข้าราชอาณาจักรไทย ได้แก่ บอตสวานา เอสวาตินี เลโซโท มาลาวี โมซัมบิก นามิเบีย แอฟริกาใต้ ซิมบับเว ไม่อนุญาตให้เข้าโปรแกรม Test and Go
ผู้ที่เดินทางเข้าถึงไทยตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2564 ต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน แล้วก็ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR 3 ครั้งในวันที่ 0-1, 5-6 แล้วก็ 12-13 ไม่อนุญาตให้เดินทางเข้าราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 (ยกเว้นผู้มีสัญชาติไทย) ไม่อนุญาตให้ลงทะเบียนเข้าราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2564
ผู้เดินทางที่เข้าโปรแกรมแซนด์บอกซ์ เดินทางถึงไทยตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2564 ให้ จพต.ติดตามคุมไว้สังเกตจนครบ 14 วัน แล้วก็ติดตามตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR วันที่ 6-14 ขึ้นกับจำนวนวันที่เข้าราชอาณาจักร
ผู้เดินทางเข้าโปรแกรมกักตัวในสถานกักกัน ถึงไทยตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 กรณียังกักตัวในสถานที่กักกัน ให้ จพต.สั่งกักตัวต่อจนครบ 14 วัน แล้วก็ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ในวันที่ 12-13 กรณีออกจากสถานที่กักกันแล้ว แต่ยังไม่ครบ 14 วัน ให้ จพต.ติดตามคุมไว้สังเกตจนครบ 14 วัน แล้วก็ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ในวันที่ 12-13
2. ผู้เดินทางที่มีประวัติพำนักหรือเดินทางไปยังประเทศในแอฟริกาในช่วง 21 วันก่อนเข้าราชอาณาจักรไทย (นอกเหนือจาก 8 ประเทศ) ไม่อนุญาตให้เข้าโปรแกม Test and Go
ผู้ที่เดินทางเข้าไทยตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2564 ให้เข้ากักตัวเป็นเวลา 14 วัน แล้วก็ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR 3 ครั้ง วันที่ 0-1,5-6 แล้วก็ 12-13
ผู้เดินทางที่เข้าโปรแกรมแซนด์บอกซ์ ถึงไทยตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2564-5 ธันวาคม 2564 ให้ จพต.ติดตามคุมไว้สังเกตจนครบ 14 วัน หรือตามจำนวนวันที่พำนัก กรณีน้อยกว่า 14 วัน กรณีมีอาการให้ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ไม่อนุญาตให้ลงทะเบียนเข้าราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2564
ผู้เดินทางผ่านโปรแกรมกักตัวในสถานกักกัน ถึงไทยตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564-5 ธันวาคม 2564 กรณีครบกำหนดกักตัวแล้วให้ จพต.ติดตามคุมสังเกตไว้จนครบ 14 วัน กรณีมีอาการให้ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR
เงินกู้เพียงพอรับมือโอไมครอน
แล้วก็ภายหลัง เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ข่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลพยายามสร้างสมดุลทั้งการป้องกันการแพร่ระบาดแล้วก็มาตรการด้านเศรษฐกิจควบคู่กัน ซึ่งก็กล่าวได้ว่าจากตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศก็ถือว่าดีขึ้นตามลำดับ
อย่างไรก็ดี หากกรณีมีการแพร่ระบาดเกิดขึ้น ก็มีงบประมาณในการดูแลบรรเทาผลกระทบ โดยยังมีเม็ดเงินจาก พ.ร.ก.กู้เงินฉบับเพิ่มเติม เหลืออีก 2.5 แสนล้าน ซึ่งก็กล่าวได้ว่าสามารถโยกเงินใน พ.ร.ก.กู้เงินฉบับนี้ ใช้แก้ปัญหาได้ในกรณีมีความจำเป็นด้านอื่น ๆ
สำหรับแรงขับเคลื่อนภายใต้การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่นั้น ในปี 2565 ยังมีเม็ดเงินจากงบประมาณของภาครัฐอีก 3.1 ล้านล้านบาท โดยเป็นงบฯลงทุนของหน่วยงานรัฐ 6 แสนล้านบาท งบฯลงทุนของรัฐวิสาหกิจอีก 3 แสนล้านบาท
ซึ่งก็กล่าวได้ว่างบฯลงทุนทั้ง 2 ส่วนนี้ได้เร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายให้ได้ตามแผน ก็จะมีเม็ดเงินที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแน่นอน ขณะเดียวกันยังมีงบจาก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติมเพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 ที่ยังเหลืออยู่ 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งก็กล่าวได้ว่าก็จะทยอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ยกระดับตรวจ RT-PCR ไม่ล็อกดาวน์
หลังจากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนในประเทศไทยรายแรกเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ที่ผ่านมา ต่อมาในวันที่ 7 ธันวาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแล้วก็ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงการรับมือโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน เผยว่า มีการปรับจากเดิมที่ใช้ระบบ test and go แค่ ATK ให้เกิดความสะดวก ก็ปรับให้ตรวจแบบ RT-PCR ทั้งหมด กักตัวจนกว่าจะทราบผล ใช้เวลาประมาณ 1 วัน แล้วก็ฉีดวัคซีนครบโดส
“สิ่งที่อยากจะเตือนเท่ากับ สถานให้บริการต้องให้ความสำคัญ เจ้าหน้าที่ให้บริการจะต้องฉีดวัคซีน 2 เข็ม สถานที่ก็ต้องมีช่องว่าง การจัดโต๊ะ จัดเก้าอี้ ก่อนเข้ามีการตรวจอุณหภูมิ แม้กระนั้นไม่ทำแล้วเกิดการระบาดอีก ไม่ได้นะ รัฐบาลก็มีมาตรการตรงนี้ ผมสั่งให้ตรวจสอบทุกสถานที่ที่เป็นร้านอาหาร โดยเฉพาะที่เป็นศูนย์การค้าต่าง ๆ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ได้รับรายงานว่าบางพื้นที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐาน ขอให้คนที่เข้าไปบริโภคระมัดระวังตัวเองด้วย แม้กระนั้นเขาไม่มีมาตรการ Covid Free Setting อย่าไปใช้บริการเขาเท่านั้นเอง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ในขณะที่ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมว่า นายกรัฐมนตรีเป็นห่วงประชาชน ในเรื่องโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน แต่อย่าให้ตระหนก การพบผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศไทย ขอให้มั่นใจไทยมีความพร้อมเรื่องสถานพยาบาล ระบบเฝ้าระวัง คัดกรอง ตรวจสอบ แล้วก็ที่สำคัญมีวัคซีนป้องกันการบาดเจ็บรุนแรง รวมทั้งการเสียชีวิตในอนาคต
ไวรัสโควิด-19 ยังสามารถกลายพันธุ์ได้อีกเพิ่มเติม นายกฯ ขอขอบคุณไปยังคณะแพทย์ หน่วยงานที่ข้องเกี่ยว แล้วก็พี่น้องคนไทย ที่ทำให้สถิติการติดเชื้อโควิด-19 ที่วันนี้ต่ำกว่าสี่พันราย นายกฯ ย้ำว่ายังไม่มีการล็อกดาวน์
ปรับมาตรการเดินทางเข้าราชอาณาจักร
วันที่ 13 ธันวาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแล้วก็รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 (ศบค.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ ศบค.ครั้งที่ 20/2564 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
หนึ่งในระเบียบวาระการประชุมที่สำคัญ ได้แก่ การปรับมาตรการเดินทางเข้าราชอาณาจักร มีผล 16 ธันวาคม 2564 โดยมีประเด็น ดังนี้
1. การเดินทางจากสนามบินไปที่พัก สำหรับ Test and Go
2. พื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว
**มาตรการเข้าออกพื้นที่ของนักท่องเที่ยวในประเทศ
3. ผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง (HRC)
4. ผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร เป็นผู้ติดเชื้อ ประเมินโดยแพทย์แล้วพบว่า ไม่มีอาการ หรืออาการน้อย
ปรับมาตรการ ดังนี้
การเดินทางไม่เกิน 5 ชั่วโมง เข้าพำนักในจังหวัดที่ทางราชการกำหนด เดินทางแบบ Seal Route กรณีแวะพักกำหนดจุดพักให้ชัดเจนไม่ปะปนผู้อื่น พื้นที่ที่ไม่เป็นเกาะ ควบคุมยาก ควรปรับมาตรการโดยเพิ่มความเข้มข้นมาตรการ COVID Free Setting เน้นสถานที่เสี่ยง ได้แก่ ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า
กักตัวในโรงแรมหรือที่พักเดิมหรือจองไว้แล้ว แล้วก็ผู้ประกอบการยินยอม
สามารถทำกิจกรรมที่ไม่ปะปนกับบุคคลอื่นในโรงแรมได้
กักตัว 14 วัน กรณีเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดในกลุ่มที่มาด้วยกัน หรือครอบครัวเดียวกัน แล้วก็ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR 3 ครั้ง วันที่ 0, 5-7 แล้วก็ 12-13
กักตัว 10 วัน กรณีเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูงที่นั่งติดกับผู้ติดเชื้อบนเครื่องบิน แล้วก็ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR 2 ครั้ง วันที่ 0, 5-7
กรณีผู้ติดเชื้อไม่มีอาการเข้าพักในโรงแรมที่เป็น Hotel Isolation อย่างน้อย 10 วัน โดยการพิจารณาของแพทย์ แล้วก็เจ้าพนักงานโรคติดต่อของจังหวัดร่วมกัน
หมอพร้อม อัพเดตระบบ ฉีดวัคซีนเข็ม 3
วันที่ 19 ธันวาคม 2564 นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชนที่ฉีดครบ 2 เข็ม ตามช่วงระยะเวลาที่กำหนด
โดยล่าสุด ผู้ที่ฉีดวัคซีนทั้งสูตรเดี่ยวแล้วก็สูตรไขว้ครบ 2 เข็ม ช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2564 สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในเดือนธันวาคมนี้ แล้วก็ผู้ที่ฉีดครบช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2564 สามารถเข้ารับเข็มกระตุ้นได้ช่วงเดือนมกราคม 2565
ส่วนการนัดหมายฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม “หมอพร้อม” เพื่อแจ้งเตือนแล้วก็นัดหมายประชาชน เนื่องจากมีฐานข้อมูลของผู้รับวัคซีนในระบบอยู่แล้ว รวมถึงให้โรงพยาบาลทุกแห่งใช้ข้อมูลในระบบหมอพร้อมในการนัดหมายแล้วก็ประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนมารับวัคซีนเข็มกระตุ้น ขณะที่เดียวกันหากมีผู้วอล์กอินมาถึงโรงพยาบาลแล้ว ให้โรงพยาบาลดำเนินการฉีดวัคซีนให้ได้เลย ไม่ต้องนัดหมายมาใหม่
สธ.สั่งทุกจังหวัดรับมือโอไมครอนระลอกใหม่
ล่าสุด วันที่ 20 ธันวาคม 2564 รายงานข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้มีการสั่งการในเบื้องต้นไปยังสาธารณสุขจังหวัดแล้วก็ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ เตรียมรับมือกับการระบาดของโควิดระลอกใหม่ เนื่องจาก ขณะนี้มีการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นจากโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในหลายประเทศ แล้วก็เพื่อเป็นการรองรับการระบาดในประเทศ จึงได้ยกระดับ 3 มาตรการป้องกันโควิด ดังนี้
1.กำชับมาตรการ covid free setting ในพื้นที่ต่าง ๆ แล้วก็การอนุญาตให้จัดกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะช่วงนี้จนถึงปีใหม่ ต้องเคร่งครัดในมาตรการอย่างมากครับ หากไม่ปฏิบัติตามต้องยกเลิก
2.เร่งรัดการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ตามข้อแนะนำแล้วก็ค้นหาคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโดยเฉพาะกลุ่ม 608 โดยการเพิ่มจุดฉีดแล้วก็วางแผนการฉีดในกลุ่มเป้าหมาย ทั้งเข็ม 1 แล้วก็ เข็ม 3 ส่วนเข็ม 4 ในบุคลากรทางการแพทย์ รอข้อมูลข้อแนะนำทางวิชาการที่จะแจ้งโดยเร็ว แล้วก็ในช่วงนี้ ขอให้ทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัด sandbox ให้มีจุดฉีดวัคซีนแล้วก็การตรวจ ATK ในจุดสถานีขนส่งหรือสถานีรถไฟ สนามบิน ในทุกพื้นที่ครับ เพื่อการคัดกรองเฝ้าระวัง
3.การเตรียมการรองรับการติดเชื้อหากมีเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนโฮมไอโซเลชั่นหรือการกักตัวที่บ้าน (HI), คอมมูนิตี้ไอโซเลชั่นหรือการกักตัวในชุมชน (CI), สถานที่กักตัวทางเลือก (ASQ) แล้วก็การเพิ่มเตียงในส่วนของ รพ. ซึ่งก็กล่าวได้ว่าขออนุญาตแจ้งทุกจังหวัดดำเนินการด่วน
จ่อยกเลิก Test and GO
ต่อมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี แล้วก็รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ผ่าน รายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ถึงแนวทางการรับมือโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ว่า ได้ให้นโยบายกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขแล้วว่า คงให้มีการกลับมาใช้ State Quarantine หรือ การกักกันผู้เดินทางทั้งชาวไทย แล้วก็ชาวต่างชาติเข้ามาภายในประเทศ
โดยกระทรวงสาธารณสุขจะเสนอ ศบค. ให้ยกเลิกการเดินทางเข้าประเทศแบบ Test & Go (T&G) แล้วกลับไปใช้วิธีการกักตัว ซึ่งก็กล่าวได้ว่าจะมีการหารือในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากสถานการณ์โอไมครอนรุนแรงมากขึ้น แล้วก็หลายประเทศได้ยกเลิกจัดเทศกาลปีใหม่แล้ว จึงจำเป็นต้องเร่งใช้มาตรการดังกล่าวเพื่อยกระดับการรับมือภายในประเทศ
ส่วนจะมีการยกระดับการป้องกันอื่น ๆ ด้วยหรือไม่นั้น นายอนุทิน ได้ให้ข่าวว่า การควบคุมโรคได้มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น/จังหวัดแล้ว อยู่ที่นโยบายของแต่ละพื้นที่ อย่างกรุงเทพมหานคร ก็อาจต้องพิจารณาเรื่องการจัดกิจกรรมรวมตัวในช่วงเทศกาล หากเห็นว่ามีแนวโน้มเสี่ยงแพร่เชื้อ