การปลูกผักอินทรีย์

ปัจจัยสำคัญของการปลูกผักอินทรีย์ นั้น คือเรื่องของ ปุ๋ย ดิน น้ำ อากาศ อุณหภูมิและแสงแดด โรคและศัตรูพืช และพันธุ์พืช โดยเราจะให้ความสำคัญของปุ๋ยอินทรีย์มาเป็นอันดับแรก ปัญหาของเกษตรอินทรีย์ที่ผ่านมาก็คือเรื่องปุ๋ย ธาตุอาหารพืช เพราะในปุ๋ยอินทรีย์มีธาตุอาหารพืชน้อย ต้องใช้ในปริมาณที่มาก ปุ๋ยอินทรีย์ที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน เกษตรกรขาดความรู้เรื่องปุ๋ยอินทรีย์อย่างแท้จริง ทำให้ในระบบการผลิตพืชผักจะโตช้าและได้ผลผลิตมีคุณภาพต่ำไม่สมบูรณ์เท่าที่ควรเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ปุ๋ยเคมี

เทคโนโลยีทางชีวภาพการใช้จุลินทรีย์สามารถแก้ปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถใช้จุลินทรีย์SMในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์มาตรฐาน ได้ในระยะเวลาอันสั้นเพียง 7-10 วัน คุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์มาตรฐานที่สำคัญก็คือการย่อยสลายที่สมบูรณ์ เป็นปุ๋ยที่มีธาตุอาหารพืชอยู่ในรูปที่พร้อมใช้ พืชสามารถดูดกินได้ทันที จึงจะทำให้พืชผักโตเร็วและมีคุณภาพดีได้ เพราะได้ธาตุอาหารพืชครบ รวมทั้งฮอร์โมนพืชอีกด้วย และเมื่อเกษตรกรสามารถทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้ได้เองทั้งปุ๋ยหมักผง และปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพแล้ว ก็จะได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีต้นทุนที่ต่ำ ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้เป็นอย่างมาก

คุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์มาตรฐานของการปลูกผักอินทรีย์

คุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์มาตรฐาน ที่เหมาะกับการปลูกผักอินทรีย์คือ ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยจะต้องผ่านการย่อยสลายอย่างสมบูรณ์โดยจุลินทรีย์เท่านั้น ซึ่งคุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์ตามมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ พ.ศ. 2551 คือ

  • ปริมาณอินทรียวัตถุ ไม่น้อยกว่า 20 % โดยน้ำหนัก ซึ่งปริมาณอินทรียวัตถุ (Organic Matter) ค่า OM ทดสอบว่าปุ๋ยอินทรีย์นั้นผลิตมาจากวัสดุอินทรีย์ล้วนๆ หรือมีดินผสมมา
  • ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) 5.5 – 8.5 ค่าความเป็นกรด-ด่าง ( pH) อยู่ระหว่าง 5.5 – 8.5 ซึ่งเป็นระดับที่เป็นประโยชน์กับพืชมากที่สุด ซึ่งเมื่อใส่ปุ๋ยอินทรีย์ลงไปในดินจะไม่เพิ่มความเป็นกรดให้กับดิน ซึ่งถ้าดินมีความเป็นกรดสูงธาตุ P และ K จะถูกตรึงไว้ พืชไม่สามารถนำไปใช้ได้จึงขาดธาตุอาหารดังกล่าว
  • อัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C/N) ไม่เกิน 20 / 1 อัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C/N) ไม่เกิน 20 / 1 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่บอกคุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์นั้นว่ามีการย่อยสลายที่สมบูรณ์แล้ว เมื่อใส่ลงไปในดินแล้วจะไม่เป็นอันตรายต่อพืชปุ๋ยนั้นจะไม่ถูกย่อยสลายต่อด้วยจุลินทรีย์ดินอีก เพราะการที่ปุ๋ยย่อยสลายต่อจะทำให้สูญเสียธาตุไนโตรเจนที่มีอยู่ในดินออกไป ทำให้ดินขาดธาตุในโตรเจน
  • ค่าการนำไฟฟ้า (EC : Electrical Conductivity) ไม่เกิน 10 เดซิซีเมน/เมตร ค่าการนำไฟฟ้าแสดงถึงความเข้มข้นของปุ๋ยหรือความเค็มของปุ๋ย (ภาษาปุ๋ย) ซึ่งถ้าความเข้มข้นสูงเกินไปจะทำให้ปุ๋ยเป็นอันตรายต่อพืช เพราะพืชจะไม่สามารถดูดน้ำและธาตุอาหารได้
  • ปริมาณธาตุอาหารหลัก โดยที่ N ไม่น้อยกว่า 1.0 % โดย น.น., P ไม่น้อยกว่า 0.5 % โดย น.น., K ไม่น้อยกว่า 0.5 % โดย น.น.
  • การย่อยสลายสลายที่สมบูรณ์ มากกว่า 80 % การย่อยสลายสลายที่สมบูรณ์มากกว่า 80 % ซึ่งเป็นการทดสอบคุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์ โดยการวัดจากค่า GI – ค่าเปอร์เซ็นต์การงอกของการเพาะเมล็ด ซึ่งถ้าค่า GI สูง มีเปอร์เซนต์การงอกของการเพาะเมล็ดสูงก็แสดงว่าปุ๋ยอินทรีย์นั้นผ่านการย่อยสลายที่สมบูรณ์ด้วยจุลินทรีย์แล้ว เมื่อนำปุ๋ยไปใช้จะทำให้พืชกินปุ๋ยได้เร็ว พืชจึงเจริญเติบโตเร็ว
  • ปริมาณความชื้นและสิ่งที่ระเหยได้ ไม่เกิน 30 % โดยน.น.
  • ปริมาณเกลือ ไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์ ความเค็มจากเกลือจะทำให้เกิดความเข้มข้นในสารละลายภายนอกรากพืชสูงกว่าภายในรากพืช พืชไม่สามารถดูดซึมน้ำและธาตุอาหารเข้าไปทางรากได้ (ระบบ Osmosis) พืชจะเฉาตาย

เมื่อเกษตรกรสามารถเรียนรู้และจัดการเรื่องปุ๋ยอินทรีย์ได้เป็นอย่างดีแล้ว การปลูกผักอินทรีย์ และ การทำเกษตรอินทรีย์ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

อ้างอิงจาก cw-sm.com