ปัจจุบัน การเลี้ยงหมู นั้นนับว่ามีความเสี่ยงสูง เนื่องจากวิธีการเลี้ยงในแบบปกติ เปลี่ยนแปลงไปเป็นลักษณะเชิงการค้าค่อนข้างมากขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น จากการที่ต้องซื้ออาหารสำเร็จ
หรือวัตถุดิบต่างๆ มาผสมเป็นอาหารของหมู ในราคาค่อนข้างสูง เพราะส่วนผสมส่วนใหญ่นั้นไม่ได้นำมาจากภายในท้องถิ่น รวมทั้งวัตถุดิบบางส่วนก็เป็นสารเคมีซึ่งไม่เป็นผลดีในการนำมาบริโภคทั้งคนและสัตว์ แม้ว่าจะยังไม่เห็นผลกระทบอย่างชัดเจนก็ตามที
นอกจากต้นทุนการผลิตที่สูงมากแล้ว การเลี้ยงหมู ในปัจจุบันยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นเหม็นรบกวนที่มีค่อนข้างมาก น้ำที่ไหลออกจากคอกหมูไม่สะอาด เนื่องจากวิธีการเลี้ยงแบบใหม่นั้นเร่งอัตราการเจริญเติบโตของหมูมากเกินไป ทำให้เกิดการสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ไปในบางส่วน
เพราะหมูไม่สามารถย่อยอาหารที่กินเข้าไปได้หมด ทำให้ยังมีกากอาหารเหลือออกมาและเน่าบูดส่งกลิ่นเหม็น แต่ที่ต้องเสียไปฟรีๆ ก็คือค่าอาหารที่หมูกินแล้วย่อยไม่หมด การเลี้ยงทั่วไปหมูอยู่บนพื้นแข็ง ทำให้อยู่ไม่สบายตัว ซึ่งนี่เองจึงเป็นส่วนที่ผู้เลี้ยงไม่ควรที่จะต้องเสียรายจ่ายไปเลยแม้แต่น้อย
เลี้ยงหมูหลุมอย่างไร ให้ต้นทุนต่ำ กำไรสูง
การที่ สมาคมเกษตรกรรมธรรมชาติประเทศเกาหลี ได้เข้ามาเผยแพร่ความรู้ให้แก่เกษตรกร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดคิดค้นและพัฒนาการใช้จุลินทรีย์ท้องถิ่น (Indigenous Micro Organism/IMO หรือที่เรารู้จักกันดีคือ น้ำหมักชีวภาพ ที่ได้จากการหมักผัก/ผลไม้/เนื้อสัตว์ กับน้ำตาลนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการเกษตร
เพราะเราสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางและได้ผล) จนเมื่อมาพบกับปัญหาดังกล่าวข้างต้นทำให้มีความพยายามหาทางแก้ไข โดยเกษตรกรบางกลุ่มในเขตอำเภอเชียงคำ และอำเภอปง จังหวัดพะเยา ได้นำเอาความรู้ที่ได้มาทดลองทำเมื่อ 3 – 4 ปีก่อน และกลุ่มผู้เลี้ยงหมูในจังหวัดชัยภูมิได้ไปศึกษาดูงาน และนำมาขยายผลต่อ ดังที่ท่านกำลังจะได้ศึกษาต่อไปนี้
ในการเลี้ยงหมูต้นทุนต่ำ หรือ หมูหลุมดินชีวภาพนี้ สามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้ประมาณร้อยละ 70 เนื่องจากอาหารหลักที่ให้หมูกินคือผักนานาชนิด ผักสวนครัวรั้วกินได้ ของบ้านๆ ที่เรามี และอาหารสำเร็จ หรืออาหารผสมเพียง ร้อยละ 30 เท่านั้น จึงสามารถลดต้นทุนลงได้อย่างมาก
ขณะที่หมูมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับหมูที่เลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จเพียง อย่างเดียว สิ่งที่แตกต่างกันอย่างมากคือกำไรที่ผู้เลี้ยงจะได้รับ เพราะต้นทุนต่ำมาก เพราะประหยัดค่าอาหาร ค่าน้ำล้างคอก อีกทั้งยังได้ปุ๋ยหมักอย่างดีไปใส่นา หรือสวนได้โดยไม่ต้องกลับกองให้เหนื่อยอีกขณะเดียวกันหมูที่เลี้ยงก็ไม่มี อาการเครียด
หรือส่งเสียงร้องสร้างความรำคาญเพราะพื้นคอกเป็นแกลบผสมดินที่มีความอ่อน นุ่ม เวลาหมูเดิน หรือนอนก็ไม่เจ็บ และสามารถขุดคุ้ยเล่นได้ตามสัญชาติญาน สิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งคือ การเลี้ยงแบบนี้ไม่มีกลิ่นมารบกวนเลยแม้จะเข้าไปอยู่ในคอกหมูก็ยังไม่ได้กลิ่น เนื่องเพราะจุลินทรีย์ที่ผสมเข้าไปให้หมูกิน และที่ใช้ราดวัสดุพื้นคอกนั่นเอง
คอกสำหรับหมูหลุม
การเตรียมคอก การเลี้ยงแบบเดิมจะเป็นพื้นราดปูนแข็ง เพื่อง่ายแก่การทำความสะอาด ซึ่งทำให้หมูเครียดเพราะอยู่ไม่สบาย แต่การเลี้ยงแบบนี้จะเป็นพื้นอ่อน และโรงเรือนจะต้องสัมพันธ์กับจำนวนหมู โดยให้มีขนาดคอกกว้าง 2 X 6 เมตร สามารถเลี้ยงได้คอกละ 9 ตัว
เริ่มด้วยการขุดพื้นคอกลึกลงไป 90 เซนติเมตร (หรือขุดเพียง 45 ซม. แล้วเอาดินที่ขุดขึ้นมานั้นถมด้านข้างก็จะได้ความลึก 90 ซม.) ในการมุงหลังคานั้นควรให้ตีนชายคากว้างกันไม่ให้น้ำฝนสาดเข้ามาในคอก และเมื่อตีฝาคอกแล้ว ต้องใช้อิฐบล็อกหรือไม้ไผ่กั้นรอบ ๆ คอกลึกลงไปจากพื้นดินประมาณ 40 – 50 เซนติเมตร
เพื่อกันไม่ให้หมูขุดออกนอกคอกได้ (การกั้นฝาคอกควรติดตั้งประตูปิด-เปิดได้ไว้ เพื่อความสะดวกในการนำหมูเข้า–ออก) สิ่งที่ต้องคำนึงก็คือบริเวณที่จะสร้างคอกไม่ควรเป็นพื้นที่ต่ำน้ำท่วมขัง และควรเป็นที่ร่มใต้ต้นไม้มีอากาศถ่ายเทได้ดี เพราะหมูเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบอากาศร้อน
การเตรียมวัสดุพื้นคอก เมื่อขุดหลุมเสร็จ ก็ปูพื้นคอกโดยใช้แกลบ 10 ส่วน ผสมดินละเอียด 1 ส่วน เทลงก้นหลุมที่ขุดไว้ให้มีความหนา 30 ซม. แล้วใช้เกลือเม็ด 1 ถ้วยตราไก่ หรือประมาณครึ่งลิตรโรยหน้า แล้วใช้น้ำหมักชีวภาพ 2 ช้อนแกงผสมน้ำ 1 บัว (10 ลิตร) ราดให้ทั่ว ทำเหมือนเดิมอีก 2 ชั้นจนเท่าระดับพื้นดิน
ช่วงนี้วัสดุพื้นคอกจะยังร้อนจากการทำงานของจุลินทรีย์ ทิ้งไว้ประมาณ 10 วันจึงนำหมูเข้าอยู่ได้ และควรราดน้ำหมักชีวภาพลงบนพื้นคอกเพิ่มเติมอีกทุกๆ 5-7 วัน ครั้งละ 1 บัว ภายหลังจากเริ่มเลี้ยงหมูแล้ว เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยสลายสิ่งปฏิกูลต่างๆ
การให้อาหารและน้ำ อาหารผสม หรืออาหารสำเร็จที่เคยให้เป็นหลักนั้นจะต้องลดลง เหลือเพียงประมาณร้อยละ 30 เช่น เราเคยให้ตัวละ 2 กก. ต่อวัน ก็จะต้องเหลือแค่ตัวละ 6 ขีด ต่อวัน ส่วนอาหารที่จะให้หมูกินเป็นหลักคือผักที่มีอยู่ตามธรรมชาติทั่วไป เหมือนการเลี้ยงในสมัยก่อน เช่น หยวกกล้วย ผักเบี้ย ผักขม ผักตบชวา ยอดกระถิน ยอดข้าวโพด ใบมัน ฯลฯ โดยนำมาหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วแช่ในน้ำที่ผสมน้ำหมักชีวภาพไว้นานประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง
ซึ่งใช้สูตรเดียวกับน้ำที่ให้หมูกิน คือผสมน้ำหมักชีวภาพกับน้ำ ในอัตราส่วนตั้งแต่ 1 ต่อ 1,000 สำหรับหมูเล็ก, 1 ต่อ 800 สำหรับหมูรุ่นและ 1 ต่อ 500 สำหรับหมูใหญ่ หรือหมูพ่อ-แม่พันธุ์ (น้ำ 1 ปี๊บ มี 20 ลิตร หากเป็นหมูเล็กผสมแค่ 2 ช้อนโต๊ะ,หมูรุ่น ผสม 3 ช้อนโต๊ะ, หมูใหญ่ ผสม 4 ช้อนโต๊ะ)
การป้องกันโรค เนื่องจากการเลี้ยงหมูแบบต้นทุนต่ำนี้ มีน้ำหมักชีวภาพซึ่งมีจุลินทรีย์ และวิตามินจากผักเป็นตัวหลักในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับหมู แต่หากอาหาร หรือน้ำไม่สะอาดพอ หมูอาจมีอาการท้องเสีย หรือขี้เหลวได้ (ซึ่งปกติไม่ค่อยเกิดบ่อยนัก) ต้องรักษาโดยนำใบผรั่งสด ใบฟ้าทะลายโจรสด และเถาบอระเพ็ดเอาให้หมูกิน
รวมทั้งจะต้องหาว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เช่น อาหารและน้ำอาจไม่สะอาดพอ ก็ต้องปรับปรุงแก้ไขใหม่ นอกจากนี้ควรใช้มุ้งเขียวคลุมคอกเพื่อกันยุงตั้งแต่เย็นถึงเช้า แต่หากเป็นพื้นที่ที่มีตัวริ้นชุกชุม (โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน) ควรนำเอาตะไคร้หอมมาทุบแช่น้ำ แล้วฉีดพ่นให้หมูในช่วงหัวค่ำ (ระวังอย่าให้เข้าตา) เนื่องจากตะไคร้หอมมีสรรพคุณช่วยไล่แมลงได้เป็นอย่างดี
พืชสมุนไพร
ผักปลัง มีทั้งก้านแดงและเขียว
ผักปลัง ปลูกง่าย เด็ดกิ่งปักชำในดินชื้นแฉะ ไม่กี่วันก็งอก อาทิตย์เดียวแตกยอดเต็มสวน
สาระน่ารู้ด้านเกษตร
การดูกล้วยด่าง ว่าแท้หรือไม่ ทำอย่างไร
ขั้นตอนในการดูว่า กล้วยด่าง ที่ซื้อมานั้น แท้หรือเทียม มีเทคนิคการตรวจสอบไม่ยาก เพราะตำแหน่งและความแตกต่างกันระหว่าง
เทคนิคการทำเกษตร
EM มีประโยชน์
ต้นกำเนิด EM มาจากญี่ปุ่นเชียวนะเธอ EM หรือ Effective Microorganisms ถูกค้นพบครั้งแรกโดย ศาสตราจารย์ ดร.เทรูโอะ ฮิหงะ
บทความเกษตร (ENG)
organic baby food products
The organic baby food is that which is processed without the use of artificial pesticides
สาระน่ารู้ด้านเกษตร
วิถีพอเพียง สู่การท่องเที่ยว
ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ปี 2555 นี้ มีหลายคนได้มีโอกาสที่จะได้ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มเกษตรกรเอง ที่ต้องทำงานหนักในหลายรูปแบบ ต่างก็มีร่างกายที่ต้องการพักผ่อนกันทั้งนั้น โดยพื้นที่ภาคเหนือ
พืชสมุนไพร
มะม่วงหาวมะนาวโห่ สมุนไพรที่ควรมีไว้ติดบ้าน
มะม่วงหาวมะนาวโห่ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bengal Currant แต่หากพูดแต่ชื่อ คงจะงง การจะอธิบายให้ฝรั่งเข้าใจ คงต้องมีให้ทดลองชิม
สาระน่ารู้ด้านเกษตร
คุณค่าของข้าวไทย
ชาวนาถือเป็นกระดูกสันหลังของชาติ และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่แพ้อุตสาหกรรมด้านอื่น ชาวไทยควรเล็งเห็น คุณค่าของข้าวไทย ที่มีความงดงาม ไม่ว่าจะเป็นความงามของเมล็ดข้าว รวงข้าว ทุ่งข้าว การปลูก การเก็บเกี่ยว
สาระน่ารู้ด้านเกษตร
เตรียมพร้อมกับ เกษตรพอเพียง
พลิกที่นาแบบเก่าๆ ปรับเปลี่ยนมาทำการเกษตรพอเพียง พบหนทางแก้จน ของคุณธงชัย บุญชู เกษตรกรชั้นดีจากศรีสะเกษ ในอดีตนั้นจากแปลงเกษตรผืนเล็กๆ ที่ถูกกั้นด้วยคันดินของอ่างเก็บน้ำบ้านโนนเปือย
เทคนิคการทำเกษตร
วิธีเลี้ยงปลาดุกให้เป็นปลาที่มีเนื้ออ่อนนุ่ม
หากการเลี้ยงปลาดุก จะทำให้มีรายได้เพิ่ม ควรเริ่มเลยวันนี้